การเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ มีวิธีอะไรบ้าง?

ในการศึกษาวิจัยทางสังคมศาสตร์ พฤติกรรมผู้บริโภค หรือการตลาด การเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data Collection) มีบทบาทสำคัญในการเข้าถึงมุมมอง ความรู้สึก แรงจูงใจ และประสบการณ์เชิงลึกของผู้ให้ข้อมูล ซึ่งมักไม่สามารถวัดหรือประเมินได้จากแบบสอบถามเพียงอย่างเดียว

บทความนี้จะกล่าวถึงเทคนิคการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพที่ได้รับความนิยมและใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ การสนทนากลุ่ม (Focus Groups), การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interviews) และเทคนิคการฉายภาพจิต (Projective Techniques)

การสนทนากลุ่ม (Focus Groups)

ความหมาย:

การสนทนากลุ่มเป็นการรวบรวมความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก (ประมาณ 6–10 คน) ภายใต้การชี้นำของผู้ดำเนินการ (Moderator) เพื่อพูดคุยในหัวข้อที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โดยมุ่งหวังให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์ และความรู้สึกต่อเรื่องที่ศึกษา

จุดเด่น:

  • ได้ข้อมูลจากหลายมุมมองในเวลาเดียวกัน
  • การแลกเปลี่ยนระหว่างกลุ่มช่วยกระตุ้นความคิดและแง่มุมใหม่
  • เหมาะสำหรับการสำรวจทัศนคติ พฤติกรรมผู้บริโภค หรือการทดสอบแนวคิดผลิตภัณฑ์

ข้อควรระวัง:

  • ผู้ร่วมกลุ่มบางรายอาจถูกครอบงำโดยเสียงส่วนใหญ่
  • ความคิดเห็นอาจไม่สะท้อนความจริงลึก ๆ หากเกิดความอึดอัดใจ

ขั้นตอนการดำเนินการ Focus Group

  1. กำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย
  • ระบุให้ชัดเจนว่าต้องการรู้ “อะไร” จากกลุ่มตัวอย่าง
  • เช่น สำรวจทัศนคติของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์ใหม่ / วิเคราะห์แรงจูงใจการเลือกใช้บริการ / ทำความเข้าใจพฤติกรรมในสถานการณ์เฉพาะ
  1. คัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง (Participant Selection)
  • ขนาดกลุ่ม: 6–10 คนต่อกลุ่ม (ไม่ควรเกิน 12 คน)
  • คัดเลือกจากคุณสมบัติเฉพาะ เช่น เพศ อายุ รายได้ พฤติกรรมการซื้อ ฯลฯ
  • ควรมีลักษณะใกล้เคียงกันภายในกลุ่ม (Homogeneous) เพื่อเปิดใจพูดคุยได้สะดวก

หมายเหตุ: หากต้องการเปรียบเทียบหลายกลุ่ม อาจจัด Focus Group หลายครั้ง เช่น กลุ่มวัยรุ่น vs กลุ่มผู้สูงวัย

  1. วางแผนและเตรียมการ
  • เตรียม คำถามนำการสนทนา (Discussion Guide) โดยเริ่มจากคำถามทั่วไป → คำถามเฉพาะ → คำถามปิดท้าย
  • เตรียม ผู้ดำเนินรายการ (Moderator) ที่มีทักษะฟังเชิงลึก กระตุ้นการพูดคุย และรักษาบรรยากาศเป็นกลาง
  • จัดเตรียมสถานที่ที่เป็นกลาง เงียบ มีอุปกรณ์บันทึกเสียง/ภาพพร้อม (หรืออาจทำผ่านออนไลน์ เช่น Zoom)
  1. ดำเนินการสนทนากลุ่ม
  1. กล่าวต้อนรับ และอธิบายวัตถุประสงค์ (ไม่ใช่สอบสวน ไม่มีคำตอบผิด)
  2. สร้างความคุ้นเคย เช่น ให้แนะนำตัวหรือพูดเรื่องเบา ๆ ก่อน
  3. เริ่มคำถามนำ โดยเปิดกว้าง แล้วค่อยไต่ลึกตามธีมที่กำหนด
  4. กระตุ้นให้ทุกคนมีส่วนร่วม โดยใช้เทคนิคชวนคิด เช่น:
    • “ใครเคยมีประสบการณ์คล้ายกันบ้าง?”
    • “คุณรู้สึกยังไงถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้?”
  5. ควบคุมเวลาและบรรยากาศ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนโดยไม่ขัดแย้ง
  6. สรุปและปิดการสนทนา ด้วยคำถามเปิด เช่น “วันนี้มีประเด็นไหนที่พวกคุณอยากเพิ่มเติมไหม?”
  1. บันทึกและถอดเทป
  • ใช้เครื่องบันทึกเสียง (หรือวิดีโอ)
  • ถอดเทปบทสนทนาแบบคำต่อคำ (Verbatim) หรือลดรูปแบบสำคัญก็ได้ (ตามระดับความเข้มข้นของการวิจัย)
  1. วิเคราะห์ข้อมูล
  • วิเคราะห์แบบ Thematic Analysis: จัดกลุ่มประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นบ่อย
  • หา Quote สำคัญ ที่สะท้อนทัศนคติ ความรู้สึก หรือพฤติกรรมของกลุ่ม
  • เปรียบเทียบมุมมองที่ สอดคล้อง และ ขัดแย้ง กัน

จัดทำรายงานผลสรุป (เชิงบรรยาย พร้อมกราฟ/ตารางประกอบถ้ามี)

การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interviews)

ความหมาย:

การสัมภาษณ์เชิงลึกคือกระบวนการพูดคุยแบบตัวต่อตัว ที่ให้ผู้ให้ข้อมูลมีโอกาสแสดงออกถึงประสบการณ์ ความคิด และความรู้สึกของตนอย่างเต็มที่ ภายใต้บรรยากาศที่ปลอดภัย ไม่ตัดสิน และใช้เวลาอย่างเหมาะสม

จุดเด่น:

  • เจาะลึกประสบการณ์ส่วนตัว และความหมายที่แต่ละคนให้กับเรื่องนั้น ๆ
  • ลดอิทธิพลของกลุ่ม (ต่างจาก Focus Group)
  • เหมาะกับหัวข้อที่มีความเป็นส่วนตัวหรืออ่อนไหว

ข้อควรระวัง:

  • ต้องใช้ทักษะการตั้งคำถามและการฟังอย่างลึกซึ้งจากผู้สัมภาษณ์

ใช้เวลาและทรัพยากรมากในการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์

 

ขั้นตอนการทำ In-depth Interview

  1. กำหนดวัตถุประสงค์การวิจัย
  • ต้องระบุให้ชัดว่า ต้องการคำตอบอะไร จากการสัมภาษณ์
  • เช่น ต้องการเข้าใจพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้า / แรงจูงใจการใช้บริการ / ประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับปัญหาบางอย่าง
  1. คัดเลือกผู้ให้ข้อมูล (Respondent Selection)
  • เลือกจากผู้ที่ตรงตามเกณฑ์ เช่น เพศ อายุ อาชีพ ความสนใจ หรือประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง
  • จำนวนคนขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลที่ต้องการ (มัก 5–20 คน ต่อโครงการ)
  • อาจใช้เทคนิค Snowball Sampling เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
  1. เตรียมคู่มือสัมภาษณ์ (Interview Guide)
  • คำถามควรเป็นแบบปลายเปิด (Open-ended Questions) เพื่อให้ผู้ตอบสามารถอธิบายได้เต็มที่
  • จัดคำถามตามลำดับ: จากกว้าง → ลึก → อ่อนไหว
  • ตัวอย่างโครงสร้างคำถาม:
    • Warm-up: ช่วยเล่าเกี่ยวกับตัวคุณให้ฟังหน่อย
    • Core: อะไรเป็นเหตุผลที่คุณตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์นี้?
    • Deep-dive: คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อเจอกับผลข้างเคียง?
    • Closing: มีอะไรที่คุณอยากบอกเพิ่มเติมไหม?
  1. ดำเนินการสัมภาษณ์
  • สถานที่: เป็นส่วนตัว เงียบ เป็นกันเอง (หรือออนไลน์ก็ได้)
  • เวลา: โดยทั่วไปใช้เวลา 30–90 นาที ต่อราย
  • ผู้สัมภาษณ์ควรมีทักษะฟังเชิงลึก ตั้งใจ ไม่ขัดจังหวะ และใช้เทคนิคกระตุ้นให้เล่า เช่น
    • “เล่าเพิ่มเติมได้ไหม?”
    • “แล้วคุณรู้สึกอย่างไรในตอนนั้น?”
    • “มีเหตุการณ์ไหนที่คุณจำได้เป็นพิเศษ?”

✅ ควรขออนุญาตบันทึกเสียง/วิดีโอ และแจ้งเรื่องความลับก่อนเริ่ม

  1. บันทึกและถอดเทป (Transcription)
  • ถอดบทสัมภาษณ์แบบคำต่อคำ (verbatim) หรือแบบย่อใจความ (ตามความเหมาะสม)
  • จัดระเบียบข้อมูลตามหัวข้อหรือธีม เพื่อเตรียมเข้าสู่การวิเคราะห์
  1. วิเคราะห์ข้อมูล (Thematic Analysis / Content Analysis)
  • อ่านบทสัมภาษณ์ซ้ำหลายรอบ
  • เข้ารหัสข้อมูล (Coding): ไฮไลต์ประเด็นสำคัญ หรือคำพูดที่สะท้อนความคิด
  • จัดกลุ่มข้อมูลเป็น ธีม (Themes) เช่น ความกังวล ทัศนคติ ความคาดหวัง

สังเคราะห์ข้อมูลแบบ บรรยายเชิงคุณภาพ พร้อม ตัวอย่างคำพูด

เทคนิคการฉายภาพจิต (Projective Techniques)

ความหมาย:  เทคนิคการฉายภาพจิตคือการใช้เครื่องมือหรือกิจกรรมทางอ้อม (Indirect Methods) เพื่อให้ผู้ให้ข้อมูล “เปิดเผย” ความคิด ความรู้สึก หรือแรงจูงใจที่อาจถูกกดทับ ซ่อนเร้น หรือแม้แต่ไม่รู้ตัว เช่น การบอกโดยตรงอาจไม่ได้ข้อมูลลึกเท่า

ตัวอย่างเทคนิคที่ใช้:

  • Word Association: บอกคำศัพท์ให้ตอบกลับคำแรกที่นึกถึง
  • Sentence Completion: ให้เติมประโยค เช่น “เวลาฉันเห็นแบรนด์นี้ ฉันรู้สึกว่า…”
  • Picture Interpretation: แสดงภาพ แล้วถามว่า “ภาพนี้เกิดอะไรขึ้น?”
  • Brand Personification: ให้จินตนาการว่าแบรนด์เป็นคน แล้วอธิบายลักษณะนิสัย
  • Storytelling / Cartoon Strip Completion: ให้เล่าเรื่องจากภาพ หรือเติมคำพูดในช่องการ์ตูน

จุดเด่น:

  • ช่วยเข้าถึงข้อมูลระดับจิตใต้สำนึก
  • เปิดเผยอารมณ์ ความรู้สึกที่พูดยาก
  • เหมาะกับการวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค การสร้างแบรนด์ หรืออัตลักษณ์ของสินค้า

ข้อควรระวัง:

  • การตีความต้องทำโดยนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญ
  • ต้องเลือกเทคนิคให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย

🔹 ตัวอย่างรูปแบบ Projective Techniques ที่นิยม

  1. Word Association – ให้ผู้ตอบพูดคำแรกที่นึกถึง เมื่อได้ยินคำหนึ่ง เช่น “อาหารเสริม” = “ปลอดภัย” / “กลัว”
  2. Sentence Completion – เช่น “ฉันคิดว่าคนที่กินอาหารเสริมทุกวันคือคนที่…”
  3. Picture Interpretation (Thematic Apperception Test) – ให้ดูภาพแล้วแต่งเรื่องราว
  4. Brand Personification – สมมติว่าแบรนด์เป็นคน คน ๆ นี้จะเป็นอย่างไร?
  5. Shopping List / Cartoon Test / Bubble Drawing – เติมคำพูดให้ตัวละคร, วิเคราะห์สินค้าจากรายชื่อ, ฯลฯ

 

ขั้นตอนการใช้ Projective Techniques

  1. กำหนดวัตถุประสงค์ (Define Objective)
  • ต้องรู้ว่าอยากเข้าใจอะไรที่ “ซ่อนอยู่”
    • เช่น ภาพลักษณ์แบรนด์ในใจผู้บริโภค
    • ความรู้สึกที่แท้จริงต่อการกินอาหารเสริม
    • แรงจูงใจเบื้องหลังการซื้อของแพง
  1. เลือกเทคนิคที่เหมาะสม
  • หากต้องการเข้าใจ ความรู้สึกทันที → ใช้ Word Association
  • หากต้องการเข้าใจ มุมมองลึก ๆ → ใช้ Picture Interpretation หรือ Brand Personification
  • หากต้องการเข้าใจ ทัศนคติแฝง → ใช้ Sentence Completion
  1. ออกแบบกิจกรรม / เครื่องมือ (Stimuli)
  • สร้างภาพ ข้อความ หรือเรื่องสมมติให้เหมาะกับบริบท
  • ตัวอย่าง (สินค้าสุขภาพ):
    • ให้ผู้ให้ข้อมูลดูภาพคน 3 คน แล้วถามว่าใครน่าจะกินอาหารเสริม? เพราะอะไร?
    • ให้เติมคำในประโยค: “เวลาฉันไม่กินอาหารเสริม ฉันรู้สึก…”
  1. สร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง
  • ผู้ให้ข้อมูลต้อง รู้สึกปลอดภัย ไม่ถูกตัดสิน
  • ไม่บอกจุดประสงค์ชัดเจนทันที เพื่อไม่ให้มีอคติ
  • ใช้คำว่า “เกม”, “จินตนาการสนุก ๆ” แทน “การวิจัย”
  1. ดำเนินกิจกรรม
  • เปิดคำถามกระตุ้น: “ลองจินตนาการว่า…”
  • ไม่เร่งรัด รอให้ผู้ตอบคิด และขยายความต่อ
  • ใช้คำถามสะท้อนกลับ เช่น “ทำไมคุณจึงคิดว่าเขาไม่มั่นใจ?”
  1. ถอดข้อมูลและวิเคราะห์ (Interpretation)
  • เน้นตีความเชิงคุณภาพจาก เนื้อหา ความหมายซ่อนเร้น และ รูปแบบการตอบซ้ำ ๆ
  • อาจเชื่อมโยงกับทฤษฎีจิตวิทยา เช่น ความกลัว ความขัดแย้งภายใน
  • สร้าง Theme เช่น:
    • “กลัวผลข้างเคียง”
    • “อยากควบคุมร่างกายได้เอง”
    • “เชื่อแบรนด์มากกว่าคุณหมอ”

🔹 ตัวอย่าง Projective Technique (กรณีสินค้าอาหารเสริม)

เทคนิค ตัวอย่างคำถาม/กิจกรรม
Word Association           เมื่อนึกถึงคำว่า “อาหารเสริม” คำแรกที่คุณคิดคือ…?
Sentence Completion           เวลากินอาหารเสริม ฉันรู้สึกว่า…
Picture Test          ดูภาพคนสองคนนี้ คุณคิดว่าใครเป็นคนใส่ใจสุขภาพ? เพราะอะไร?
Brand Personification          ถ้าแบรนด์ Magicus Bond เป็นคน เขาจะเป็นผู้หญิงแบบไหน?

 

หากคุณสนใจบริการวิจัยตลาด สามารถติดต่อเราเพื่อปรึกษาเพิ่มเติมได้ทันที! คลิก LINE https://lin.ee/9OFwHAy

แบ่งปันบทความสาระน่ารู้

Facebook
Twitter
LinkedIn

บทความอื่นๆ