หลายแบรนด์และองค์กรยังคงใช้แบบสอบถาม (Survey) เป็นเครื่องมือหลักในการทำวิจัยตลาด ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบ CATI, CAWI หรือ Online Survey ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้รู้ว่า “ลูกค้าคิดอะไร”
แต่ในโลกจริง การตัดสินใจของลูกค้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขาพูดเพียงอย่างเดียว
บางครั้งเขาอาจตอบว่า “สนใจ” แต่กลับ ไม่เคยค้นหาข้อมูลเพิ่ม ไม่บันทึกสินค้า ไม่กดเพิ่มลงตะกร้า และไม่ซื้อจริง
นี่ทำให้เกิดคำถามสำคัญที่วงการวิจัยต้องเผชิญ:
“แบบสอบถามสะท้อนความจริงของพฤติกรรมหรือไม่?”
และความจริงคือ — ไม่เสมอไปค่ะ
นั่นคือเหตุผลที่งานวิจัยยุคใหม่เดินไปสู่การผสานข้อมูลสองโลกเข้าด้วยกัน:
Survey Data (What customers SAY) + Behavioral Data (What they DO)
= Insight ที่แม่นยำกว่าและนำไปใช้เชิงกลยุทธ์ได้จริง
ทำไมแบบสอบถามอย่างเดียวถึงไม่พออีกต่อไป
แบบสอบถามเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการเข้าใจ:
- ความเชื่อ
- การรับรู้
- ความคาดหวัง
- อุปสรรคเชิงอารมณ์
แต่มีข้อจำกัดสำคัญ 3 ด้าน:
1) Say–Do Gap
ลูกค้า พูดไม่เหมือนทำ เช่น:
- บอกว่าจะซื้อสินค้า → ไม่เคยกลับมาดูอีกเลย
- บอกว่าไม่สนใจส่วนลด → แต่ตัดสินใจซื้อเมื่อมี Flash Sale
2) Memory
ลูกค้าไม่สามารถจำพฤติกรรมของตัวเองแบบละเอียดได้ เช่น:
“คุณเปรียบเทียบข้อมูลสินค้ากี่ครั้งก่อนซื้อ?”
ส่วนใหญ่จะตอบ 1–2 ครั้ง
แต่ Behavioral Data บอกว่า:
👉 เขาเข้าหน้าเดียวกันมากกว่า 6 ครั้งภายใน 72 ชั่วโมง
3) Social Agreement Bias
ลูกค้าตอบให้ดู “ดี” หรือเป็น “มาตรฐานสังคม” เช่นใน healthcare:
- “ฉันเลือกซื้อเพราะส่วนผสมดีและปลอดภัย”
แต่ Behavioral Data พบว่า:
👉 61% ซื้อเพราะ รีวิวเชิงประสบการณ์จริงและผลลัพธ์เร็ว

Behavioral Data คืออะไร และสำคัญอย่างไร?
Behavioral Data คือข้อมูลที่สะท้อนพฤติกรรมจริงของลูกค้าแบบเรียลไทม์ เช่น:
- เส้นทางการเข้าชมเว็บไซต์
- เวลาเฉลี่ยขณะดูสินค้า
- อัตราการกดย้อนกลับ (Bounce)
- การเพิ่มสินค้าในตะกร้าแต่ไม่สั่งซื้อ
- การซื้อซ้ำ
- การค้นคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้า
ข้อมูลเหล่านี้ให้คำตอบแบบ ไม่ผ่านความคิดหรืออคติ — เป็นความจริงดิบ (Raw Truth)
เมื่อ Survey และ Behavioral Data ทำงานร่วมกัน
เมื่อผสานข้อมูลทั้งสอง แบรนด์จะไม่เพียงรู้ว่า “ลูกค้าคิดอย่างไร” แต่ยังรู้ว่า
👉 อะไรทำให้เขาเปลี่ยนใจ หยุดซื้อ หรือกลับมาซื้อซ้ำ
ตัวอย่าง Insight จากการผสานข้อมูล:
| สิ่งที่ Survey บอก | Behavioral Data เปิดเผย |
| ลูกค้าบอกว่าสินค้าราคาเหมาะสม | แต่ 43% ออกจากหน้าสินค้าที่จุดราคา |
| ลูกค้าบอกว่ามั่นใจคุณภาพสินค้าผลิตในไทย | แต่ 68% กดดูรีวิวจากต่างประเทศก่อนซื้อ |
| ลูกค้าบอกว่า Packaging ไม่ใช่ปัจจัย | แต่ dwell time สูงที่สุดในหน้าภาพ Packaging |
นี่คือตัวอย่าง Insight ที่ “ใช้ได้จริง” เพราะสะท้อนทั้งความคิดและพฤติกรรมจริง
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม Healthcare
Healthcare เป็นอุตสาหกรรมที่ ความเชื่อมั่น (Trust) และ ข้อมูลจริง (Evidence) สำคัญมาก และการตัดสินใจของผู้บริโภคซับซ้อนกว่าสินค้าหมวดอื่น
มาดูตัวอย่างสินค้า วิตามินสำหรับผู้มีปัญหานอนหลับ:
Insight จาก Survey (What They Say)
- 87% สนใจเพราะต้องการวิธีแก้ปัญหาที่ไม่ใช่ยา
- 65% บอกว่าปลอดภัยสำคัญที่สุด
- 72% บอกว่าพร้อมทดลองใช้
Insight จาก Behavioral Data (What They Do)
- 58% คลิกรีวิว “ก่อน–หลัง (Before/After)”
- 44% คลิก “คำแนะนำจากเภสัช” มากกว่าหน้าโปรโมชั่น
- 32% ส่งลิงก์ให้คนในครอบครัวอ่านก่อนตัดสินใจ
- Conversion สูงสุด → หลังปรากฏคำว่า
✔ “Non-habit forming”
✔ “Clinically documented result within 14 days”
ผลลัพธ์:
ลูกค้าไม่ได้แค่ต้องการ “วิตามินช่วยนอนหลับ”
แต่ต้องการ ความมั่นใจว่าไม่เสพติด ปลอดภัย และเห็นผลในช่วงเวลาที่จับต้องได้
นี่คือ Insight ที่ Survey อย่างเดียวหาไม่ได้

วิธีเริ่มต้นทำ Hybrid Research แบบเป็นขั้นตอน
ขั้นตอนที่แนะนำ:
- ตั้งคำถามเชิงพฤติกรรม ไม่ใช่เฉพาะเชิงความคิด
- ออกแบบตัวชี้วัดเชื่อมต่อ เช่น Repeat Intent → Repeat Action
- ผสานข้อมูลจาก Online Analytics + Customer Feedback
- สร้าง Behavioral Segmentation เช่น Passive Buyer, Researcher, Coupon Trigger
- แปลง Insight เป็นกลยุทธ์ เช่น messaging, UX, offer design
ผสาน 2 สิ่งเข้าด้วยกัน
Survey เป็นเหมือน เสียงของลูกค้า
Behavioral Data คือ การกระทำของลูกค้า
เมื่อผสานสองสิ่งเข้าด้วยกัน แบรนด์จะได้ Insight ที่:
- แม่นยำกว่า
- ใช้งานได้จริงกว่า
- เชื่อมกับ Journey ของลูกค้าแบบ 360 องศา
และท้ายที่สุด…
แบรนด์ที่เข้าใจ การกระทำจริง ของลูกค้า
จะนำหน้าคู่แข่งที่ยังฟังแค่ คำตอบในแบบสอบถาม
ต้องการเริ่มวิจัยแบบที่ไม่ใช่แค่ถาม “ลูกค้าคิดอะไร” แต่เข้าใจ “ลูกค้าทำอะไรและทำไม”?
📩 ปรึกษาเราได้เลย
🔗 LINE: https://lin.ee/TzhmJq5
👉 Research ที่ช่วยให้แบรนด์ตัดสินใจได้บนหลักฐาน ไม่ใช่ความรู้สึก