Social Listening คืออะไร? ต่างจาก Social Monitoring อย่างไร ฉบับเข้าใจง่ายสำหรับแบรนด์

เคยสงสัยไหมว่า…ในขณะที่คุณไม่ได้มอง ลูกค้าตัวจริงกำลังพูดถึงแบรนด์ สินค้า หรือบริการของคุณบนโลกออนไลน์ว่าอย่างไร? พวกเขาชม หรือตำหนิ? พวกเขากำลังเจอปัญหาอะไรที่แบรนด์ไม่เคยรู้? 

ในยุคที่เสียงของผู้บริโภคดังกว่าโฆษณา การคาดเดาหรือดูแค่ยอดไลก์-แชร์อาจไม่เพียงพออีกต่อไป นี่คือจุดที่ “Social Listening” และ “Social Monitoring” เข้ามามีบทบาทสำคัญในฐานะหูทิพย์ของนักการตลาดและเจ้าของธุรกิจ

แต่หลายคนยังคงสับสนว่าสองคำนี้เหมือนหรือต่างกันอย่างไร บทความนี้จะไขทุกข้อสงสัยให้กระจ่าง เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้เครื่องมือและกลยุทธ์ได้อย่างถูกต้องและเปลี่ยน “เสียง” ของลูกค้าให้กลายเป็น “โอกาส” ทางธุรกิจ

Social Monitoring vs. Social Listening

แม้จะทำงานคู่กัน แต่ทั้งสองอย่างมีเป้าหมายและวิธีการที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ลองนึกภาพตามง่ายๆ แบบนี้ครับ

 

Social Listening: “สมอง” ของนักกลยุทธ์ที่คอยวิเคราะห์

Social Listening คือ การ “วิเคราะห์และตีความ” (The So What & Now What) มันคือการนำข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากการ Monitoring มาวิเคราะห์ในภาพรวมเพื่อหา “ข้อมูลเชิงลึก” หรือ “Insight” ที่ซ่อนอยู่

เป้าหมายหลัก: เพื่อตอบคำถามว่า ทำไม” (Why) ผู้คนถึงพูดแบบนั้น และเราควรจะ ทำอะไรต่อไป” (Now What) เป็นการทำงานใน เชิงรุก (Proactive) เพื่อวางกลยุทธ์ในอนาคต เช่น

  • วิเคราะห์ความรู้สึก (Sentiment Analysis) ว่าคนชอบ (Positive), ไม่ชอบ (Negative) หรือเฉยๆ (Neutral) กับแบรนด์เรา
  • หาแนวโน้ม (Trends) ที่กำลังเกิดขึ้นในตลาด
  • ทำความเข้าใจปัญหาของลูกค้าที่พูดถึงซ้ำๆ เพื่อนำไปพัฒนาสินค้า
  • มองหาโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจจากช่องว่างที่คู่แข่งมองข้าม

เปรียบเทียบง่ายๆ: Social Listening เหมือนการมีทีมนักวิเคราะห์ที่คอยสรุปภาพรวมและเสนอแนวทางว่าเราควรเดินไปทางไหนต่อ

Social Monitoring: “หูทิพย์” ของแบรนด์ที่คอยดักฟัง 

Social Monitoring คือ การ “รวบรวม” ข้อมูล (The What) มันคือกระบวนการเฝ้าระวังและดักจับ (Monitor) ทุกครั้งที่มีคนพูดถึง Keyword ที่เราตั้งค่าไว้แบบ Real-time เช่น

  • ชื่อแบรนด์ของคุณ (Brand Name)
  • ชื่อสินค้า/บริการ (Product/Service Name)
  • ชื่อผู้บริหาร (สำหรับงาน PR)
  • ชื่อแคมเปญ หรือ #Hashtag
  • ชื่อคู่แข่ง (Competitor Name)

เป้าหมายหลัก: เพื่อให้รู้ว่า ใคร พูดอะไร ที่ไหน” (Who, What, Where) เป็นการทำงานใน เชิงรับ (Reactive) เช่น เมื่อมีคนโพสต์ด่า ก็เข้าไปตอบกลับ หรือเมื่อมีคนชม ก็เข้าไปขอบคุณ

เปรียบเทียบง่ายๆ: Social Monitoring เหมือนการตั้ง Notification Alert เตือนทันทีเมื่อมีคนพูดถึงเรา

ตารางเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ

คุณสมบัติ Social Monitoring (การมอนิเตอร์) Social Listening (การรับฟัง)
เป้าหมาย รวบรวมข้อมูล, ตอบกลับรายกรณี (Micro) วิเคราะห์ภาพรวม, หา Insight (Macro)
การทำงาน เชิงรับ (Reactive) เชิงรุก (Proactive)
สิ่งที่ได้ Data – ใครพูดอะไร ที่ไหน Insight – ทำไมเขาถึงพูด และเราควรทำอะไร
ตัวอย่างการใช้งาน ตอบคอมเมนต์ลูกค้า, แก้ปัญหาเฉพาะหน้า วางแผนกลยุทธ์, พัฒนาสินค้า, หาไอเดียคอนเทนต์
คำถามที่ตอบ “เกิดอะไรขึ้นบ้าง?” “ทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้น และมีความหมายอย่างไร?”

 

ทำไม Social Listening จึงเป็นอาวุธสำคัญที่แบรนด์และเอเจนซี่ต้องมี?

เมื่อคุณเข้าใจความแตกต่างแล้ว จะเห็นว่า Social Listening ให้ประโยชน์มหาศาลกับธุรกิจมากกว่าแค่การตอบคอมเมนต์ นี่คือเหตุผลที่มันกลายเป็น Game Changer ของการตลาดยุคใหม่

  1. บริหารจัดการชื่อเสียงและภาวะวิกฤต (Reputation & Crisis Management): รู้ทันทีเมื่อมีกระแสดราม่าหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับแบรนด์ ช่วยให้ทีม PR และผู้บริหารสามารถเข้าไปจัดการสถานการณ์ได้ทันท่วงทีก่อนจะลุกลาม
  2. เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง (Customer Insight): เข้าถึงความคิดเห็นจริงๆ ของลูกค้าที่ไม่ได้ผ่านการปรุงแต่ง ทำให้รู้ว่าจุดแข็งที่แท้จริงของแบรนด์คืออะไร และจุดอ่อนที่ต้องรีบแก้ไขคือตรงไหน
  3. ส่องกลยุทธ์และหาจุดอ่อนคู่แข่ง (Competitor Analysis): ไม่ใช่แค่รู้ว่าคู่แข่งทำอะไร แต่รู้ไปถึงว่า “ลูกค้าของคู่แข่ง” ชอบหรือไม่ชอบอะไรในตัวสินค้าหรือแคมเปญของพวกเขา ซึ่งเป็นขุมทรัพย์ในการหาโอกาสให้แบรนด์เรา
  4. หาไอเดียพัฒนาสินค้าและบริการ (Product Development): เมื่อลูกค้าบ่นเรื่องฟีเจอร์บางอย่างซ้ำๆ หรือเรียกร้องสิ่งที่ยังไม่มี นั่นคือสัญญาณตรงจากตลาดให้ทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์นำไปต่อยอดได้ทันที
  5. ค้นหาไอเดียสร้างคอนเทนต์ที่โดนใจ (Content Ideation): รู้ว่าลูกค้ากำลังสนใจเรื่องอะไร ใช้ภาษาแบบไหน หรือมีปัญหาอะไรที่แบรนด์สามารถสร้างคอนเทนต์เข้าไปช่วยเหลือได้
  6. วัดผลแคมเปญในมุมที่ลึกกว่าเดิม (Campaign Measurement): นอกจากการดูตัวเลข Reach หรือ Engagement เราสามารถวัดผลได้ว่าคน “รู้สึก” อย่างไรกับแคมเปญของเราจริงๆ และ Message ที่สื่อสารออกไปตรงใจพวกเขาหรือไม่

 

Social Monitoring คือการ “รวบรวม” ข้อมูลที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น แต่ Social Listening คือการนำข้อมูลนั้นมา “วิเคราะห์” เพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ไม่ใช่แค่แบรนด์ที่พูดเก่ง แต่เป็นแบรนด์ที่ “ฟังเก่ง”

สำหรับแบรนด์, PR Agency, และเจ้าของธุรกิจ การลงทุนกับการทำ Social Listening ก็เหมือนกับการลงทุนสร้าง “เข็มทิศ” ที่จะนำทางให้ธุรกิจของคุณเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องและตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างแท้จริง

 

ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่แบรนด์ของคุณจะเปลี่ยนจากแค่ “ได้ยิน” มาเป็น “รับฟัง” เสียงของลูกค้าอย่างแท้จริง?

และบทความต่อไป ที่เจาะลึกความสำเร็จของแบรนด์ “รู้เขา รู้เรา” ทำให้เรานำคู่แข่งไปแล้วหนึ่งก้าว คือ การวิเคราะห์คู่แข่งผ่าน Social Listening ทำอย่างไร ?

แบ่งปันบทความสาระน่ารู้

Facebook
Twitter
LinkedIn

บทความอื่นๆ