ก่อนเปิดตัวสินค้าใหม่ การทดสอบสินค้ากับผู้บริโภคจริงเป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่า:
- สินค้าตอบโจทย์ความคาดหวังของลูกค้า
- รสชาติ กลิ่น เนื้อสัมผัส หรือคุณสมบัติใช้งานตรงตาม Positioning
- มีความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด
- การใช้จริงไม่สร้างความผิดหวังหรือความซับซ้อน
หนึ่งในคำถามที่หลายแบรนด์มักถามคือ:
ควรใช้ Central Location Testing (CLT) หรือ Home Usage Test (HUT)?
ทั้งสองวิธีมีประโยชน์ แต่มอบ Insight ต่างกันอย่างชัดเจน และอาจให้ผลลัพธ์ที่ “คนละทิศทาง” หากเลือกวิธีที่ไม่สอดคล้องกับบริบทสินค้าและพฤติกรรมลูกค้า
Central Location Testing (CLT) คืออะไร?
CLT คือการให้กลุ่มตัวอย่างเข้ามาทดลองสินค้าในสถานที่ควบคุม เช่น ห้อง Lab, Research Center หรือ Event Booth ที่ออกแบบใช้ทดสอบสินค้าโดยเฉพาะ
CLT เหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องการ:
- ควบคุมเงื่อนไขการใช้งาน
- วัดความแตกต่างของสูตร
- ทดสอบประสาทสัมผัส (Sensory Testing)
- เก็บผลแบบเร่งด่วน (Real-time feedback)
ตัวอย่างประเภทสินค้าเหมาะกับ CLT:
| หมวดสินค้า | เหตุผล |
| อาหาร/เครื่องดื่ม | ควบคุมอุณหภูมิ, portion, ตารางเปรียบเทียบ blind test |
| เครื่องสำอาง | ทดสอบ texture, absorption, scent |
| ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี | usability testing ใน prototype stage |
| บรรจุภัณฑ์ | reaction + ergonomics test |

จุดแข็งของ CLT
✔ ควบคุมตัวแปรได้ดี
✔ เก็บข้อมูลทันทีระหว่างการใช้งาน
✔ ลดผลกระทบจากปัจจัยแวดล้อม
✔ เหมาะกับ Blind Test หรือ A/B Test แบบหมัดต่อหมัด
ข้อจำกัดของ CLT
✘ ไม่ใช่สถานการณ์จริง → ผู้บริโภคอาจประเมินแบบ “คาดหวัง”
✘ ใช้วิธีทดลองในครั้งเดียว → ไม่มีข้อมูลการใช้งานระยะยาว
✘ ความรู้สึก “ว้าว” แบบแรกพบอาจไม่ตรงกับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน

Home Usage Test (HUT) คืออะไร?
HUT คือการให้ผู้ใช้ทดลองสินค้าในชีวิตจริงตามสภาพแวดล้อมที่เขาจะใช้งานจริง เช่น ในบ้าน ที่ทำงาน หรือระหว่างกิจกรรมประจำวัน
เหมาะสำหรับสินค้า:
- ใช้ต่อเนื่องหลายวัน
- มีขั้นตอนการใช้งานจริง
- ต้องดูผลลัพธ์ระยะยาว
- ต้องดูการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้
สินค้าตัวอย่างที่เหมาะกับ HUT:
| หมวดสินค้า | เหตุผล |
| อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน | ต้องดู workflow การเตรียม + convenience |
| เครื่องสำอางและสกินแคร์ | วัดผลลัพธ์หลังใช้งานต่อเนื่อง |
| อุปกรณ์แม่บ้าน (เช่น น้ำยาซักผ้า เครื่องกรองน้ำ) | ต้องดู performance และ repeat usage |
| อาหารเสริม | ต้องดู compliance + perception change |
จุดแข็งของ HUT
✔ เข้าใจ product experience แบบสมจริง
✔ เห็น pain point การใช้งานจริง
✔ เก็บ insight หลากหลาย dimension (emotion + habit + usability)
✔ เหมาะกับการคาดการณ์ repeat purchase และ retention
ข้อควรระวังของ HUT
✘ ควบคุมตัวแปรยาก เช่น อุณหภูมิการเก็บ, ระยะเวลา, วิธีใช้
✘ เก็บ feedback ช้า
✘ ต้องมีระบบ tracking และ follow-up ที่ดี
CLT หรือ HUT แบบไหนให้ข้อมูลที่ “ใช้งานได้ดีกว่า”?
คำตอบคือ — ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากได้ Insight แบบไหน
| สิ่งที่ต้องการรู้ | CLT | HUT |
| ความรู้สึกแรก (First impression) | ⭐⭐⭐⭐ | ⭐⭐ |
| การใช้งานในสถานการณ์จริง | ⭐⭐ | ⭐⭐⭐⭐⭐ |
| เปรียบเทียบสูตร/คู่แข่งแบบ Blind | ⭐⭐⭐⭐⭐ | ⭐ |
| วัดประสิทธิภาพระยะยาว | ⭐ | ⭐⭐⭐⭐⭐ |
| ทดสอบ Convenience / Workflow | ⭐⭐ | ⭐⭐⭐⭐⭐ |
| เก็บ Insight เร็ว | ⭐⭐⭐⭐⭐ | ⭐⭐ |
ตัวอย่างในอุตสาหกรรม Healthcare
Healthcare เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ผลการทดสอบใน CLT และ HUT อาจแตกต่างกันมาก
กรณีศึกษา: อาหารเสริมสำหรับผู้หญิงวัย 40+
📍 ผลจาก CLT (วันแรก):
- 91% ชอบบรรจุภัณฑ์
- 76% ให้คะแนนสูงด้านรสชาติ
- 68% บอกว่า “แบรนด์น่าเชื่อถือ”
แต่เมื่อทำ HUT 14 วัน ผลลัพธ์กลับแตกต่าง:
📍 ผลจาก HUT:
- 32% บอกว่า “กินง่าย แต่ลืมกินบ่อย”
- 46% ต้องการ package แบบแบ่งซอง
- 58% ต้องการ notification หรือคำแนะนำการใช้ที่ปรับตามอาการ
Insight ที่ได้จากการผสานข้อมูล
ลูกค้าไม่ได้ต้องการ “อาหารเสริมรสชาติดี” อย่างเดียว
แต่ต้องการ “ผลิตภัณฑ์ที่เข้ากับชีวิตประจำวันง่ายที่สุด”
Message ที่ควรใช้หลังวิจัย:
❌ “สูตรใหม่ ซึมซับดี รสชาติอร่อย”
✔ “กินง่าย ไม่ลืม ด้วยรูปแบบแบ่งซองพร้อมเตือน”
นี่คือความแตกต่างระหว่าง “ข้อมูลความชอบ” และ “ข้อมูลการใช้งานจริง”
แล้วควรเลือกแบบไหน?
แบรนด์ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้:
- ระยะของผลิตภัณฑ์ (prototype / ready to launch)
- ประเภทสินค้า (single-use vs long-term use)
- ตลาดเป้าหมาย (mass vs premium)
- ประเภท Insight ที่ต้องการ (sensory vs experience)
- งบประมาณและเวลาวิจัย
สูตรที่ใช้ได้จริงในการเลือก
📍 เริ่มจาก CLT → จูนสูตร/ภาพลักษณ์
📍 ต่อด้วย HUT → ทดสอบการใช้งานจริงและความยั่งยืน
แบรนด์ระดับสากลจำนวนมาก เช่น Nestlé, Unilever, L’Oréal และบริษัท Healthcare มักใช้รูปแบบนี้เพราะ:
CLT บอกว่า “ลูกค้าชอบอะไร”
HUT บอกว่า “ลูกค้าใช้อะไรได้จริงและอยากกลับมาใช้ซ้ำ”
แล้ววิธีไหนดีกว่ากัน?
ไม่มีวิธีไหน “ดีกว่า” อีกวิธีหนึ่ง
แต่ขึ้นอยู่กับ ชนิดของสินค้า จุดประสงค์ของงานวิจัย และ Insight ที่ต้องการ
สิ่งสำคัญคือการเลือกอย่างถูกต้อง
เพราะงานวิจัยที่ดีช่วย:
- ลดต้นทุนความผิดพลาดก่อนการผลิตจริง
- เพิ่มโอกาสความสำเร็จของสินค้าใหม่
- ทำให้กลยุทธ์สื่อสารและ packaging สอดคล้องกับพฤติกรรมจริงของลูกค้า
และ ultimately —
แบรนด์ที่ทดสอบก่อน คือแบรนด์ที่เข้าใจลูกค้ามากกว่าแบรนด์ที่เดา
ต้องการทดสอบสินค้าใหม่ด้วย CLT, HUT หรือ Hybrid Testing ที่วัดทั้งความรู้สึกและการใช้งานจริง?
📩 ปรึกษาเราได้เลย
🔗 LINE: https://lin.ee/TzhmJq5
👉 เริ่มทดสอบสินค้าแบบมีหลักฐานก่อนตัดสินใจเปิดตัวจริง