โลกของผู้บริโภคในวันนี้ไม่ได้แยกการซื้อสินค้าออกเป็น “ออนไลน์” หรือ “ออฟไลน์” ชัดเจนเหมือนสมัยก่อนอีกต่อไป ลูกค้าเคลื่อนที่ผ่านหลายช่องทางอย่างเป็นธรรมชาติ บางครั้งการตัดสินใจซื้อเกิดขึ้นหลังจากพบข้อมูลใน 5–13 touchpoints ขึ้นอยู่กับหมวดสินค้า
ลองดูตัวอย่างง่ายๆ:
- ลูกค้าเห็นรีวิวบน TikTok → คลิกดูเว็บไซต์ → เก็บใน Wishlist → เดินไปลองสินค้าที่ร้าน → กลับมาสั่งออนไลน์ในแอปเพราะมีโค้ดส่วนลด
หรือในบางกรณี เช่น Healthcare:
- เห็นโฆษณาวิตามินใน Facebook → อ่านรีวิวใน Pantip → ปรึกษาเภสัช → กลับไปค้นข้อมูลความปลอดภัยใน Google → ตัดสินใจซื้อใน Online Store เพราะได้ราคาดีกว่า
เส้นทางจริงของลูกค้าจึง ไม่ได้เป็นเส้นตรง (Linear Funnel) แต่เป็นรูปแบบ วนซ้ำ ย้อนกลับ และเปลี่ยนช่องทางได้ตลอดเวลา (Non-linear Journey)
คำถามคือ:
เราจะเข้าใจลูกค้าในโลกที่เปลี่ยนเส้นทางได้ตลอดเวลาได้อย่างไร?
คำตอบคือ Hybrid Customer Journey Research
ทำไม Hybrid Research จึงสำคัญในยุคปัจจุบัน
การเก็บข้อมูลรูปแบบเดียว เช่น survey online หรือ focus group อาจให้ “ความคิดเห็น” ของลูกค้า แต่ไม่สามารถสะท้อน พฤติกรรมจริงในหลายช่องทาง ได้
ในขณะที่ Hybrid Journey Research ช่วยตอบคำถามเชิงลึก เช่น:
- ลูกค้ารู้จักสินค้าครั้งแรกจากช่องทางไหน?
- ช่องทางไหนมีผลต่อการ “ตัดสินใจซื้อ”?
- Touchpoint ไหนสร้าง ความมั่นใจ หรือ ความกังวล?
- ลูกค้าแต่ละกลุ่ม (segment) ผ่านเส้นทางเดียวกันหรือไม่?
แบรนด์ที่เข้าใจเส้นทางลูกค้าลักษณะนี้จะสามารถ:
✔ ลดค่าโฆษณาที่สูญเปล่า
✔ สร้างประสบการณ์ที่ตรงกับความคาดหวัง
✔ เพิ่ม conversion rate และ repeat purchase

โครงสร้างของ Hybrid Customer Journey Research
Hybrid Research คือการผสานข้อมูล 3 มิติหลัก:
1) Digital Behavior & Analytics (Online)
ใช้เพื่อจับพฤติกรรมจริง ไม่ใช่แค่คำตอบ
📌 ตัวอย่างเครื่องมือ:
- Google Analytics / Heatmap behavior
- Social Listening
- Pixel tracking & CPC behavior
Search intent tracking (SEO insight)
2) Experience & Perception Research (Offline + Online)
เพื่อเข้าใจเหตุผลและบริบท
📌 ตัวอย่าง:
- CATI / CAWI survey
- Focus group / UX Lab
- Central Location Testing (CLT)
- In-depth Interview
3) Emotional & Cognitive Measurement
เครื่องมือใหม่ในวงการ CX เช่น:
- Emotional Experience Score (EXS)
- Sentiment AI
- Response-time based testing
- Facial micro-expression (สำหรับ Product / UX Test)
ตัวอย่างในอุตสาหกรรม Healthcare
Healthcare เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ Hybrid Journey ยุ่งยากที่สุด เพราะลูกค้ามีทั้ง:
- ความต้องการ “ข้อมูลเชิงเหตุผล” → ปลอดภัยไหม? ได้มาตรฐานหรือไม่?
- ความต้องการ “อารมณ์” → เชื่อถือได้ไหม? เหมาะกับฉันไหม?
Journey ตัวอย่าง: ลูกค้าตัดสินใจซื้ออาหารเสริมบำรุงข้อเข่า
| Stage | Touchpoint | Insight |
| Awareness | Facebook Ad / TikTok Creator | ลูกค้ารู้จักสินค้าครั้งแรกจากอินฟลูเอนเซอร์วัยกลางคน |
| Consideration | Google search + รีวิว Pantip | ลูกค้าเริ่มกังวลเรื่องผลลัพธ์จริงและความปลอดภัย |
| Validation | ถามเภสัช / ผู้เชี่ยวชาญ | Healthcare Trust Factor สูงที่สุดในจุดนี้ |
| Trial | ทดลองซื้อครั้งแรกในร้านขายยา | ลูกค้าตัดสินใจแบบ “มนุษย์” มากกว่าเหตุผลบนรีวิว |
| Repeat | ซื้อออนไลน์เพราะคุ้มกว่า | Loyalty เกิดจากโปร + ฟอร์มูล่าที่เห็นผล |
สิ่งสำคัญที่ Hybrid Research พบคือ:
ลูกค้าซื้อครั้งแรกเพราะ “ความเชื่อใจ” แต่ซื้อซ้ำเพราะ “ประสบการณ์จริง”
ซึ่งเป็น insight ที่การวิจัยช่องทางเดียวไม่สามารถจับได้

Hybrid Research = Insight ที่ “ใช้ได้จริง”
เมื่อแบรนด์มี Hybrid Journey Map จะสามารถ:
- ปรับข้อความ (Messaging) ให้เหมาะกับแต่ละ Touchpoint
- ออกแบบ Experience เชื่อมโยงช่องทาง (Omnichannel)
- วางกลยุทธ์สื่อแบบ Less cost, more impact
มาเข้าใจ Insight กัน
พฤติกรรมผู้บริโภควันนี้ไม่ได้เดินทางเป็นเส้นตรงอีกต่อไป
Hybrid Customer Journey Research ทำให้แบรนด์เข้าใจลูกค้าอย่าง ครบทุกมิติ ตั้งแต่:
- อะไรทำให้ “เริ่มสนใจ”
- อะไรทำให้ “ลังเล”
- อะไรทำให้ “เชื่อ”
- และสุดท้าย…อะไรทำให้ “ซื้อและซื้อซ้ำ”
แบรนด์ที่เข้าใจเส้นทางนี้ก่อน คือแบรนด์ที่ ไม่เดา แต่ตัดสินใจจาก Insight ที่พิสูจน์ได้
📩 ปรึกษาเราได้เลย
🔗 LINE (คลิก): https://lin.ee/TzhmJq5