ในหลายแบรนด์ การเก็บข้อมูลลูกค้าในงานอีเวนต์เป็นเพียง “กิจกรรมประกอบ” เช่น:
- กรอกฟอร์มรับของแจก
- ทำแบบสอบถามเพื่อแลกคูปอง
- ลงทะเบียนเพื่อร่วมกิจกรรม
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเดิมเสมอ:
ข้อมูลที่ได้ “ดูดี” แต่ไม่สะท้อนความจริงของลูกค้า
เหตุผลคือ ในบริบทของอีเวนต์ ลูกค้ามักตอบแบบ:
- เกรงใจ
- เชิงบวกมากกว่าความเป็นจริง
- ตามความคาดหวังของแบรนด์
- รีบตอบเพราะอยากได้ของแถม
- ตอบแบบข้าม ๆ เพื่อไปทำกิจกรรมอื่นต่อ
ดังนั้น หากงานอีเวนต์ถูกใช้เป็นเวทีในการทำ Product Research หรือทดลองสินค้า (Product Sampling, Experience Booth, Demo Zone, Pop-up Store) แต่เก็บข้อมูลผิดวิธี ผลลัพธ์ที่ได้อาจทำให้แบรนด์ เข้าใจลูกค้าผิดทาง
นี่คือเหตุผลที่เกิดแนวคิด:
Insight in Events — การเก็บข้อมูลในอีเวนต์แบบมีโครงสร้าง เพื่อเปลี่ยนประสบการณ์สดเป็น Insight ที่นำไปใช้เชิงกลยุทธ์ได้จริง
ทำไมการวิจัยในอีเวนต์จึงสำคัญในยุคนี้?
เพราะอีเวนต์ไม่ใช่แค่พื้นที่โปรโมตสินค้าอีกต่อไป แต่เป็น พื้นที่ทดลอง (Experience Lab) ที่ลูกค้าสัมผัสสินค้าอย่างเต็มรูปแบบ เช่น:
- ทดลองรสชาติอาหารและเครื่องดื่ม
- ทดลองสกินแคร์หรือเครื่องสำอาง
- ทดลองอุปกรณ์สุขภาพ ฟิตเนสหรือเทคโนโลยี
- ฟังผู้เชี่ยวชาญและได้รับข้อมูลแบบตัวต่อตัว
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีค่าอย่างมหาศาล เพราะเกิดขึ้นใน ช่วงเวลาที่ลูกค้ามีอารมณ์และประสบการณ์ร่วมจริง

ความท้าทายของการเก็บข้อมูลในอีเวนต์
การเก็บ Insight ในอีเวนต์มีความคล้าย HUT + CLT ผสมกัน แต่มาพร้อมข้อจำกัด:
| ความท้าทาย | ตัวอย่าง |
| เวลาในการเก็บข้อมูลมีจำกัด | ลูกค้าตอบได้ 1–3 นาทีเท่านั้น |
| บรรยากาศมีอิทธิพลต่อคำตอบ | ดนตรี คนเยอะ บรรยากาศคึกคัก |
| Social desirability bias สูง | ลูกค้าตอบเชิงบวกแม้รู้สึกกลาง ๆ |
| Reward effect | คนตอบเพราะต้องการของแจก ไม่ได้สนใจสินค้า |
นี่จึงต้องออกแบบการเก็บข้อมูลแบบพิเศษ ไม่ใช่ใช้แบบสอบถามทั่วไป

5 เทคนิคสำคัญในการเก็บ Insight ในอีเวนต์อย่างมีประสิทธิภาพ
1) ใช้ Behavioral Observation แทนแค่คำถาม
บางครั้งการ “ดู” ให้ข้อมูลมากกว่า “ถาม”
ตัวอย่างที่สังเกตได้:
- ลูกค้าลองสินค้านานหรือสั้น?
- เขาหยุดดูสินค้าตรงส่วนไหนก่อน?
- กลุ่มไหนอยากทดลองมากที่สุด?
- มี hesitation หรือจุดทำให้ลูกค้าชะงักไหม?
สิ่งเหล่านี้สะท้อน Pain point เชิงประสบการณ์ เช่น:
- สินค้าดูน่าใช้แต่ “ใช้งานยาก”
- บรรจุภัณฑ์สวยแต่ “เปิดไม่สะดวก”
2) ใช้ Question Funnel แบบ Ultra Short Decision Trigger
คำถามไม่ควรยาว แต่ต้อง คม ชัด และกระทุ้งอารมณ์
ตัวอย่างคำถามดี:
“ถ้ามีราคาพิเศษเฉพาะวันนี้ คุณจะซื้อเลยไหม?”
คำถามนี้วัด:
- ความสนใจจริง
- ความเร่งด่วน
- ความมั่นใจ
ดีกว่าคำถามเดิมอย่าง:
❌ “คุณพึงพอใจกับสินค้าไหม? (1–5)”
3) ใช้วิธีเก็บข้อมูลแบบ Micro-Emotion Mapping
หลังการทดลอง ให้ถามเพียง 1 คำตอบ:
“ความรู้สึกแรกของคุณคืออะไร?”
เช่น:
- ว้าว
- ดูดีแต่ยังไม่แน่ใจ
- น่าสนใจ
- เฉย ๆ
- ไม่น่าใช้
คำตอบนี้คือ “First-Person Experience Signal” ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงอารมณ์ที่สำคัญมากในงาน CX และ Product Launch
4) ใช้ Incentive ให้ถูกประเภท
แทนของแจกแบบทั่วไป เช่น แสตมป์/น้ำ/ของที่ไม่เกี่ยวกับ brand
ให้ใช้:
- Sample เพิ่ม
- Exclusive access
- Early buyer privilege
- Cashback สำหรับการซื้อหน้างาน
สิ่งนี้ทำให้ตอบ เพราะสนใจสินค้า
ไม่ใช่ตอบ เพื่อแลกของ
5) ใช้ Hybrid Data Collection
รวม:
- สแกน QR ตอบสั้น
- การสังเกต
- รีแอคชันของร่างกาย (facial cue)
- Follow-up หลังงาน (1–7 วัน)
ตามพฤติกรรมมนุษย์:
ความประทับใจ “ตอนใช้งานครั้งแรก” ไม่เท่ากับ “ความตั้งใจใช้ซ้ำ”
จึงต้องมี Post-event Checkpoint
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม Healthcare
ลองดูสินค้า ผลิตภัณฑ์สเปรย์ระงับกลิ่นกายสูตรอ่อนโยนสำหรับผิวแพ้ง่าย
หลังทดลองในอีเวนต์ Health Expo:
📍 Insight from Event:
- 92% บอกว่า “กลิ่นดีและสบายผิว”
- 75% ให้คะแนน packaging ดี
📍 แต่เมื่อทำ Post-event survey หลัง 3 วัน:
- 41% บอกว่า “ผลลัพธ์ไม่ได้อยู่ได้นานตามที่คาดหวัง”
- 33% บอกว่า “ใช้แล้วโอเค แต่ยังไม่มั่นใจผลลัพธ์”
หมายความว่า:
First reaction = ดี
But Real usage confidence = ยังไม่เกิด
นี่ทำให้แบรนด์ต้องสื่อสาร:
- ระยะเวลาการเห็นผลที่เป็นจริง
- วิธีใช้ที่เหมาะสม
-เปรียบเทียบกับตัวเลือกในตลาด / Clinical proof

Framework “Event Insight Model (EIM)”
เพื่อให้ใช้งานได้ง่าย นี่คือ Framework:
| Phase | สิ่งที่ต้องทำ |
| Before event | ตั้ง Insight objective + สร้าง short-question funnel |
| During event | ใช้ hybrid method (Observe + Ask + Track) |
| End of booth experience | Emotion mapping + buying trigger test |
| Post event (1–7 วัน) | Follow-up เพื่อวัด intention → behavior |
| Analysis | สร้าง journey insight → communication theme |
ผลลัพธ์ที่แบรนด์ควรได้จากการเก็บ Insight ในงานอีเวนต์
แบรนด์ที่ทำถูกต้องจะได้ข้อมูลระดับ:
✔ First impression insight
✔ Sensory / UX reaction
✔ Purchase barrier & drivers
✔ Conversion probability
✔ Messaging direction
✔ Product refinement direction
✔ Retail, online และ content strategy
กล่าวคือ — ได้ข้อมูลทั้ง อารมณ์ การใช้จริง และศักยภาพทางธุรกิจ
สรุป
ข้อมูลในอีเวนต์ไม่ได้ไร้คุณค่า — เพียงแต่ต้องรู้วิธี “เก็บอย่างถูกต้อง”
Insight in Events คือแนวคิดที่ใช้ทั้ง:
- พฤติกรรม
- อารมณ์
- บริบทการใช้งาน
- Intent to purchase
- และ Follow-up เพื่อแปลงความสนใจเป็นข้อมูลจริง
ในยุคที่การทดลองสินค้าแบบ Live Experience และ Pop-Up Store เติบโตขึ้น การเก็บ Insight ในอีเวนต์แบบเฉย ๆ จึงไม่เพียงพออีกต่อไป
แบรนด์ที่รู้จักเก็บ Insight ในอีเวนต์ คือแบรนด์ที่เข้าใจลูกค้าใน “ช่วงเวลาที่เขาตัดสินใจจริง”
ต้องการออกแบบระบบเก็บ Insight ในอีเวนต์ให้ได้ข้อมูลจริง นำไปใช้วางกลยุทธ์สินค้าและการตลาดได้?
📩 ปรึกษาเราได้เลย
🔗 LINE: https://lin.ee/TzhmJq5
👉 เปลี่ยน Event Experience เป็น Insight — และ Insight เป็นผลลัพธ์ธุรกิจ